มะม่วงแก้วขมิ้นมีจุดเด่นอยู่ที่ เปลือกของผลที่มีสีเหลืองคล้ายขมิ้น จึงเป็นที่มาของชื่อ “แก้วขมิ้น” ผลมีลักษณะกลมรี ปลายเรียว ขนาดกลางถึงใหญ่ น้ำหนักเฉลี่ยของผลอยู่ที่ประมาณ 300–500 กรัมต่อผล ขึ้นอยู่กับการดูแลและอายุของต้น เมื่อยังดิบ ผลจะมีเนื้อสีเหลืองอ่อน เนื้อกรอบแน่น กลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติอมเปรี้ยวเล็กน้อย ผสมหวานอย่างกลมกล่อม สามารถรับประทานสดได้โดยไม่ต้องจิ้มน้ำปลาหวาน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้มะม่วงแก้วขมิ้นแตกต่างจากมะม่วงดิบพันธุ์อื่น ลักษณะของต้น ต้นมะม่วงแก้วขมิ้นมีลักษณะคล้ายมะม่วงทั่วไป คือมีลำต้นตั้งตรง เปลือกต้นสีน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้ม รูปหอก ปลายแหลม ออกดอกเป็นช่อในช่วงฤดูหนาวจนถึงต้นฤดูร้อน ต้นสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินหลากหลายประเภท และมีอายุการเก็บเกี่ยวผลผลิตเร็วเมื่อเทียบกับมะม่วงบางพันธุ์ โดยเฉลี่ยสามารถให้ผลผลิตได้ภายใน 2-3 ปีหลังปลูก การเก็บเกี่ยว มะม่วงแก้วขมิ้นสามารถเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่ 2–3 ปี หลังปลูก โดยจะออกผลในช่วงต้นฤดูร้อน (กุมภาพันธ์–เมษายน) ผลสุกจะมีลักษณะผิวเรียบ สีเหลืองนวล เนื้อแน่น กรอบและมีกลิ่นหอมเฉพาะ เมื่อผลโตเต็มที่ (ประมาณ 90–100 วันหลังติดผล) ควรตัดผลในช่วงเช้าหรือเย็น และวางในที่ร่มเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียน้ำ ข้อดีของมะม่วงแก้วขมิ้น รสชาติดี: กรอบ อมเปรี้ยวเล็กน้อย ผสมหวาน กลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประทานดิบได้ทันที: ไม่ต้องจิ้มน้ำปลาหวาน ผลสวย สีเหลืองนวล: เป็นที่ต้องการของตลาด ให้ผลเร็ว: 2–3 ปีหลังปลูก ปลูกได้ทั่วประเทศ: ทนแล้ง เจริญเติบโตดีในหลายสภาพดิน ความนิยมและตลาด ในปัจจุบัน มะม่วงแก้วขมิ้นเป็นที่ต้องการสูงในตลาดสด ร้านผลไม้ และซูเปอร์มาร์เก็ต โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบมะม่วงดิบรสชาติกลมกล่อม นอกจากนี้ยังเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ เช่น จีน เวียดนาม และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ราคาจำหน่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 40–80 บาท/กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและขนาดของผล หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !