9 สัญญาณอาหารเริ่มบูดเสีย ที่ต้องสังเกต และหลีกเลี่ยงไม่กิน มารู้กันต่อเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล คุณผู้อ่านรู้หรือไม่คะว่า อาหารที่วางอยู่ตรงหน้าเรา ในบางครั้งแม้จะดูน่ากินแค่ไหน แต่ถ้าเริ่มเสื่อมคุณภาพเพียงเล็กน้อย ก็สามารถกลายเป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายได้ทันทีค่ะ เพราะอาหารสามารถนำมาซึ่งความเจ็บป่วยในคนเราได้ ซึ่งอาหารที่บูดเสียไม่ได้แค่ทำให้เกิดอาการเพียงเล็กน้อยได้เท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยถึงขั้นรุนแรงได้ หรือแม้แต่การได้รับอันตรายร้ายจากสารพิษที่จุลินทรีย์สร้างขึ้น ที่ในสถานการณ์จริงนั้นปัญหาคือ หลายครั้งเรามักไม่ทันสังเกตสัญญาณเตือนต่างๆ ในอาหาร เพราะคิดว่าน่าจะยังพอกินได้ หรือคิดว่าไม่น่าเสียหรอก จนสุดท้ายก็ต้องมาเผชิญกับผลเสียที่ไม่คุ้มค่าที่เกิดจากอาหารเริ่มบูดเสีย ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะสังเกตว่าอาหารเริ่มบูดเสียหรือยัง จึงเป็นทักษะที่ทุกคนควรมีติดตัวค่ะ ยิ่งในประเทศไทยของเราที่เป็นประเทศเขตร้อน โอกาสที่อาหารจะบูดเสียเร็วนั้น สามารถพบเห็นได้บ่อยครั้งนะคะ ซึ่งไม่ว่าเราจะเป็นพ่อบ้านแม่บ้าน คนทำครัวมือใหม่ หรือแม้แต่คนที่ชอบซื้ออาหารสำเร็จรูปมาติดบ้านไว้ก็ตาม จะว่าทุกคนต้องรู้ก็ได้ค่ะ เพราะการรู้ทันสัญญาณเตือนว่าอาหารเริ่มเสียแล้ว จะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่า ควรกินต่อหรือทิ้งไป โดยในบทความนี้ผู้เขียนได้รวบรวมลักษณะที่สังเกตได้ หากอาหารเริ่มบูดเสีย เมื่ออ่านจบแล้วจะมองภาพออกได้ทันที และเพื่อให้คุณผู้อ่านและคนในครอบครัวปลอดภัย จากอันตรายที่ซ่อนอยู่ในอาหารทุกมื้อ อย่าลืมนำข้อมูลต่อไปนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ และต่อไปนี้คือแนวทางการสังเกตในสถานการณ์จริงนะคะ 1. กลิ่นผิดปกติหรือเหม็นเปรี้ยว ปกติอาหารที่เริ่มเสื่อมสภาพมักส่งสัญญาณแรกผ่านกลิ่นค่ะ ซึ่งถือเป็นตัวบ่งบอกที่ชัดที่สุด หากเป็นข้าวสวยที่บูดจะมีกลิ่นเปรี้ยวคล้ายหมักแอลกอฮอล์ค่ะ ส่วนเนื้อสัตว์ที่ไม่สดจะส่งกลิ่นคาวแรงจัดจนรู้สึกฉุนจมูก หรืออาหารปรุงสำเร็จที่เก็บไว้นานจะมีกลิ่นเหม็นหืนเหมือนน้ำมันเก่านะคะ ซึ่งตัวอย่างของกลิ่นเหล่านี้เกิดจากจุลินทรีย์ที่กำลังย่อยสลายอาหารและปล่อยกรดหรือแก๊สออกมาค่ะ และถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงกลิ่นเล็กน้อยก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะนั่นคือสัญญาณบ่งบอกว่าการเน่าเสียได้เริ่มขึ้นแล้วนะคะ ยิ่งไปกว่านั้นอาหารบางชนิดอาจส่งกลิ่นแรงขึ้นทันทีเมื่อเปิดฝาภาชนะ เช่น ซุปหรือแกงที่เริ่มบูด เพียงยกฝาออกมาก็จะได้กลิ่นเปรี้ยวฉุนโชยขึ้นมาชัดเจน การดมกลิ่นจึงเป็นวิธีง่ายที่สุด ที่ทุกคนสามารถใช้ตรวจสอบได้ในชีวิตประจำวันของเราคะ เพราะจมูกของเรามักจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มากกว่าสายตาอยู่แล้ว ดังนั้นการสังเกตกลิ่นผิดปกติให้ทัน จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันด่านแรก ที่มีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้เราพลาดนำอาหารที่เสื่อมคุณภาพเข้าร่างกาย ซึ่งสามารถนำไปสู่ความเจ็บป่วยที่มากับอาหารได้ 2. สีสันเปลี่ยนไปจากเดิม หลายคนยังไม่รู้ว่า อาหารสดมักมีสีที่เป็นธรรมชาติ เช่น ผักเขียวสดใส เนื้อสัตว์สีชมพูหรือแดงนวล ข้าวสีขาวนวลสะอาด แต่เมื่ออาหารกลุ่มนี้เริ่มบูดเสีย สีสันจะเปลี่ยนไปทันทีค่ะ โดยอาจหม่นลง คล้ำขึ้น หรือมีจุดแปลกๆ เกิดขึ้น เช่น เนื้อเปลี่ยนเป็นสีเทาออกเขียว ผักเหี่ยวเป็นสีน้ำตาล หรือข้าวเริ่มหม่นเหลือง ซึ่งการเปลี่ยนสีเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ตาเราสามารถจับได้ชัดเจนที่สุด เพราะเกิดจากการออกซิเดชันและการสะสมของจุลินทรีย์นะคะ นอกจากนี้อาหารที่เริ่มขึ้นราก็มักจะปรากฏเป็นจุดสีดำ สีเขียว หรือสีขาวบนพื้นผิว ซึ่งแม้จะเห็นเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรคิดว่า “ตัดออกแล้วกินต่อได้” ค่ะ เพราะปกติเส้นใยรามักแทรกซึมไปในอาหารลึกกว่าที่ตาเราเห็น การเปลี่ยนสีจึงไม่ใช่เพียงเรื่องความไม่น่ากิน แต่คือสัญญาณเตือนว่าภายในกำลังเสื่อมสลาย และหากเผลอรับประทานต่อไปก็อาจได้รับสารพิษที่อันตรายต่อสุขอนามัยนะคะ 3. เนื้อสัมผัสเปลี่ยนไป ปกติอาหารที่ยังสดใหม่จะมีเนื้อสัมผัสชัดเจน เช่น เนื้อสัตว์สดแน่นเด้ง ผักกรอบสด หรือข้าวร่วนสวย แต่เมื่อเริ่มบูดเสีย เนื้อสัมผัสจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นลื่น เหนียว หรือติดมืออย่างผิดปกติ หากเป็นผักจะเหี่ยวและเละ หากเป็นเนื้อสัตว์จะจับแล้วรู้สึกยืดๆ หรือแฉะจนไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งในบางกรณีแม้กลิ่นจะยังไม่แรง แต่เนื้อสัมผัสก็แสดงอาการก่อน เช่น ข้าวสวยที่จับตัวเป็นก้อนแข็งด้านนอกแต่เละด้านใน หรือผลไม้ที่ผิวสวยแต่บีบแล้วนิ่มเละ การสัมผัสจึงเป็นอีกวิธีสำคัญ ที่ควรใช้คู่กับการดมกลิ่นและการมองเห็นค่ะ เพราะร่างกายของเราสามารถรับรู้ความผิดปกติผ่านผิวสัมผัสได้อย่างแม่นยำอีกเช่นเดียวกัน 4. รสชาติเปลี่ยนแปลง รู้ไหมคะว่า ในบางครั้งอาหารที่ยังดูน่ากิน แต่เมื่อชิมเพียงคำเดียวเราจะรู้สึกได้ทันทีว่ารสชาติไม่เหมือนเดิม ที่อาจมีรสเปรี้ยวแปลกๆ ขมเฝื่อน หรือฝาดติดลิ้น นั่นคือสัญญาณชัดเจนว่าอาหารเริ่มบูดเสียค่ะ เพราะปกตินั้นอาหารควรมีรสกลมกล่อม แต่ถ้าพบว่าแกงหรือซุป มีรสเปรี้ยวที่ไม่ใช่การปรุง ซึ่งรสชาติที่เปลี่ยนไปนี้เกิดจากจุลินทรีย์ที่สร้างกรดหรือสารเคมีขึ้นระหว่างการย่อยสลายนะคะ และถึงแม้ว่าจะเป็นการชิมเพียงนิดเดียวก็ตาม ความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยจากอาหารบูดเสีย ก็สามารถเกิดขึ้นได้ค่ะ ดังนั้นหากพบว่าอาหารของเรามีรสชาติผิดปกติ ควรหยุดทันที ไม่ควรเสียดายหรือฝืนรับประทานต่อ เพราะรสชาติที่เปลี่ยนไปเป็นเหมือน สัญญาณสุดท้ายของอาหาร ที่บอกเราว่าอาหารนั้นไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้วค่ะ 5. มีการขึ้นราหรือมีฝ้าขาว คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า เมื่อราเริ่มเติบโตบนอาหาร เราจะเห็นฝ้าขาวบางๆ คล้ายปุยฝุ่นหรือสำลี หากปล่อยไว้นานจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว เหลือง ส้ม หรือดำขึ้นอยู่กับชนิดของรา โดยปกติสิ่งนี้พบได้บ่อยบนขนมปัง ข้าว หรือผลไม้นะคะ และถึงแม้ว่าจะมีเพียงจุดเล็กๆ เราก็ไม่ควรเสียดายและตัดออก เพราะใยราสามารถแพร่กระจายลึกเข้าไปภายในอาหารได้ โดยที่เราไม่สามารถมองเห็นนะคะ ที่สำคัญคือราบางชนิดสามารถสร้างสารพิษที่เป็นอันตรายขึ้นมาในระหว่างนั้นได้ หากรับประทานสะสมในระยะยาวย่อมส่งผลร้ายแรงต่อสุขอนามัยของเราค่ะ ดังนั้นเมื่อพบราแม้เพียงเล็กน้อย สิ่งที่ควรทำคือทิ้งทั้งชิ้นทันที และไม่ควรเก็บหรือใช้วิธีต้มอุ่น เพราะคิดว่าจะฆ่าเชื้อราได้ โดยหลายคนยังไม่รู้ว่า สารพิษจากราไม่สามารถถูกทำลายด้วยความร้อนได้ง่ายๆ ค่ะ 6. บรรจุภัณฑ์บวม แตก หรือผิดรูป อาหารที่ผ่านการบรรจุแบบปิดสนิท เช่น กระป๋อง กล่องนม ขวดแก้ว หรือถุงสุญญากาศ ปกติจะถูกออกแบบมาเพื่อเก็บรักษาให้อยู่นานและปลอดเชื้อค่ะ แต่หากเมื่อใดก็ตามที่เราสังเกตเห็นว่า บรรจุภัณฑ์บวมโป่ง ฝาปิดตึงแน่นจนผิดรูป หรือถุงสุญญากาศที่ควรแนบชิดกลับพองออกจนมีช่องว่างภายใน นั่นคือสัญญาณเตือนที่สำคัญมากๆ นะคะ เพราะแปลว่ามีการสร้างแก๊สจากจุลินทรีย์ที่เจริญเติบโตอยู่ข้างในแล้ว ถึงแม้ว่าลักษณะอาหารภายนอกจะยังดูดี หรือกลิ่นยังไม่แรง แต่ในความจริงแล้วได้เสื่อมสภาพไปแล้วเรียบร้อยค่ะ และเต็มไปด้วยจุลินทรีย์ในระดับที่ไม่ควรเสี่ยงกินต่อโดยเด็ดขาด และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ อาหารกระป๋องหรืออาหารปิดสนิทที่บวม อาจมีการปนเปื้อนถึงขั้นที่มีการสร้างสารพิษร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งตามธรรมชาติ และถึงแม้ว่าจะนำไปต้มอุ่นใหม่ ก็ไม่สามารถทำลายสารพิษนี้ได้ค่ะ ดังนั้นการที่บรรจุภัณฑ์เปลี่ยนรูปไปเพียงเล็กน้อย จึงถือเป็นสัญญาณอันตรายสูงสุด ที่ต้องสังเกตและตัดสินใจทิ้งทันที เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอันใหญ่หลวงต่อสุขอนามัยค่ะ 7. มีแมลงหรือหนอนปะปน ปกติอาหารที่เสื่อมคุณภาพมักดึงดูดแมลงเข้ามา เช่น แมลงวัน แมลงหวี่ หรือมด ซึ่งจะบินมาตอมและทิ้งไข่เอาไว้โดยที่เราไม่รู้ตัว เมื่อเวลาผ่านไปไข่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะฟักออกมาเป็นหนอนเล็กๆ ที่คืบคลานอยู่ในอาหาร และมักเกิดกับอาหารที่เก็บไว้โดยไม่ปิดมิดชิด เช่น ปลาแห้ง เนื้อแดดเดียว ผลไม้สุก หรือข้าวแกงที่ทิ้งไว้ค้างคืนในอุณหภูมิห้อง และรู้ไหมคะว่า การพบหนอนหรือแมลงในอาหาร ถือเป็นสัญญาณเตือนที่บอกเราตรงๆ แล้วว่า อาหารนั้นหมดสภาพและไม่เหมาะสมต่อการนำมารับประทานอีกต่อไปค่ะ ซึ่งนอกจากความน่าไม่ดูและไม่น่ากินแล้ว การที่อาหารมีแมลงหรือหนอนปะปนนี้ ยังเสี่ยงต่อการนำจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกายแบบหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะแมลงหลายอย่างเป็นพาหะของความเจ็บป่วยในรูปแบบต่างๆ มาสู่คนเราได้ หากเรายังฝืนกินต่อเพียงเพราะเสียดาย โอกาสที่จะเกิดอาการป่วยก็สูงมากค่ะ ที่โดยสรุปแล้วการเห็นแมลงหรือหนอนในอาหาร จึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่มองข้ามได้นะคะ แต่เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนที่ต้องตัดสินใจทิ้งทันที เพื่อปกป้องสุขอนามัยของเราและคนในครอบครัวค่ะ 8. น้ำขุ่นหรือมีตะกอนผิดปกติ อาหารที่อยู่ในรูปของเหลว เช่น น้ำแกง ซุป หรือน้ำผลไม้ ปกติมักจะมีลักษณะใสหรือข้นตามธรรมชาติ แต่เมื่อเริ่มบูดเสียเสียแล้ว เราจะสังเกตได้ว่าน้ำที่เคยใสกลับกลายเป็นขุ่นคล้ำผิดปกติ หรือมีชั้นตะกอนแยกตัวออกมา เช่น น้ำผลไม้ที่เริ่มหมักจะมีฟองและตะกอนลอยและแยกชั้นบนล่างเห็นชัดเจนค่ะ ส่วนน้ำแกงที่เคยใสจะกลายเป็นขุ่นจนดูไม่น่ากิน หรือซุปที่เก็บไว้นานมีลักษณะข้นเหนียวคล้ายเมือก ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้เกิดจากจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายสารอาหารและสร้างสารประกอบใหม่ขึ้นมาตามธรรมชาติ ที่จะต้องไม่นำเข้าร่างกายของเราค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นหากอาหารเหลวเหล่านี้ เริ่มส่งกลิ่นเปรี้ยวหรือเหม็นหืนควบคู่ไปด้วย ก็ยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่าได้เสื่อมสภาพไปแล้ว ซึ่งการดื่มหรือกินต่อจะไปเพิ่มโอกาสให้เราเจ็บป่วยจากอาหารเหล่านั้นได้ทันทีค่ะ แม้จะอุ่นหรือต้มใหม่ก็ไม่สามารถทำให้กลับมาปลอดภัยได้ทั้งหมดนะคะ เพราะสารพิษบางชนิดไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน ดังนั้นการสังเกตความขุ่น ตะกอน หรือความเหนียวผิดธรรมชาติของอาหารเหลว จึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เรานำสิ่งที่บูดเสียเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัวค่ะ 9. มีฟองหรือการเกิดแก๊ส หลายคนยังไม่รู้ว่า อาหารที่เริ่มบูดเสียมักแสดงความผิดปกติ ผ่านการเกิดฟองหรือก๊าซสะสมภายใน ซึ่งเป็นผลจากการทำงานของจุลินทรีย์ ที่กำลังย่อยสลายสารอาหารอยู่เบื้องหลังค่ะ หากเป็นอาหารประเภทน้ำแกงหรือซุป เมื่อเปิดฝาออกมาเราจะเห็นฟองเล็กๆ ลอยขึ้นมาเองทั้งที่ไม่ได้มีการต้ม หรือมีลักษณะคล้ายฟองหมักเหมือนในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เก่าๆ ส่วนอาหารบรรจุในขวด เช่น นม น้ำผลไม้ หรือน้ำเต้าหู้ที่เสีย เราจะสังเกตได้ว่าขวดพองตึงผิดปกตินะคะ และเมื่อเปิดออกมักได้ยินเสียงลมฟู่คล้ายแก๊สอัดอยู่ด้านใน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลจากจุลินทรีย์ที่สร้างก๊าซระหว่างการย่อยสลายอาหารตามธรรมชาติ โดยลักษณะที่ผู้เขียนได้พูดถึงนั้น ถือเป็นสัญญาณเตือนที่อันตรายมากค่ะ เพราะอาหารที่เกิดฟองหรือก๊าซสะสม คือสิ่งที่แสดงว่ามีจำนวนจุลินทรีย์ปนเปื้อนในระดับสูงเกินปลอดภัยแล้ว หากเรายังฝืนรับประทานต่อ อาจก่อให้เกิดความเจ็บป่วยได้ โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ ยิ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าเดิมค่ะ ดังนั้นการสังเกตฟองผิดธรรมชาติหรือบรรจุภัณฑ์ที่บวม จะเป็นเหมือนสัญญาณไฟแดง ที่เราต้องหยุดทันที และไม่ควรคิดนำไปต้มหรืออุ่นใหม่ เพราะความร้อนอาจทำลายจุลินทรีย์ได้บางส่วน แต่ไม่สามารถทำลายสารพิษที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นแล้วได้นะคะ ดังนั้นการตัดสินใจทิ้ง จึงเป็นทางเลือกเดียวที่ปลอดภัยที่สุดค่ะทุกคน ก็จบแล้วค่ะ เป็นยังไงบ้างค่ะ พอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่า อาหารที่เริ่มบูดเสียนั้นมีลักษณะเป็นแบบไหน? โดยเมื่อเรามองย้อนกลับไปในทั้ง 9 ลักษณะที่บ่งบอกว่าอาหารเริ่มเสียแล้ว ที่ผู้เขียนได้นำเสนอมาข้างต้นนั้น จะเห็นได้ชัดว่าอาหารที่เริ่มบูดเสียไม่ได้ซ่อนตัวแบบเงียบๆ แต่ค่อยๆ แสดงร่องรอยออกมาให้เราได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น สี รส เนื้อสัมผัส หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของบรรจุภัณฑ์ค่ะ ซึ่งสัญญาณเตือนเหล่านี้ คือ ภาษาอาหารที่กำลังบอกเราอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันไม่เหมาะที่จะกินแล้ว” หากเราฝึกสังเกตและจดจำให้แม่นยำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็นได้นะคะ และการใส่ใจตรวจสอบอาหารก่อนรับประทาน ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของการป้องกันตัวเองจากการเจ็บไข้ได้ป่วยค่ะ แต่ยังเป็นการดูแลสุขอนามัยในระยะยาวของตัวเราเองและคนในครอบครัวด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่เราเจอสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาหารเริ่มบูดเสีย ก็อย่าได้ลังเลที่จะตัดสินใจทิ้ง แม้จะเสียดายเพยงใด แต่สุขอนามัยย่อมมีค่ามากกว่าความคุ้มค่าชั่วคราวเสมอค่ะ ซึ่งการรู้ทันและกล้าที่จะเลือกทิ้งเพื่อรักษาสุขอนามัย คือทักษะสำคัญที่ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในทุกมื้ออาหารค่ะ ที่โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนจะระวังเรื่องอาหารมากค่ะ คือความเสียดายพอมีบ้าง แต่ไม่อยากเสียใจเพราะต้องมาเจ็บป่วยค่ะ เนื่องจากความเจ็บป่วยไม่ได้เสียแค่อารมณ์เท่านั้นนะคะ ไหนจะเสียเวลา และเสียเงินรักษาอีกด้วย ดังนั้นตลอดเวลาผู้เขียนจะตรวจสอบอาหารก่อนนำเข้าปากเสมอ หากพบว่ามีสิ่งผิดปกติ หรือแค่สงสัยว่าจะบูด แบบนี้ผู้เขียนตัดสินใจเลยค่ะ เพราะการตัดสินจะทำให้ขั้นตอนต่อไปเกิดขึ้นนะคะ นั่นคือทิ้งค่ะ โดยที่ผ่านมาจากประสบการณ์จริง ผู้เขียนพบอาหารที่เริ่มเสียมาแล้วในหลายรูปแบบเหมือนกันค่ะ ตั้งแต่เห็นการเกิดฟองหลังจากเปิดฝาหม้อ มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวในอาหาร การเกิดราบนขนมปังและการมีจุดดำ มีการแยกชั้นและเกิดตะกอนของนม ถุงหรือบรรจุภัณฑ์โป่งพอง และอื่นๆ อีกหลายอย่างค่ะ ยังไงนั้นหากคุณผู้อ่านพบว่าอาหารมีความผิดปกติตามข้อมูลในบทความนี้ ก็อย่าได้คิดเอยะคิดนานค่ะ เพราะอาหารสามารถเป็นสื่อของความเจ็บป่วยได้นะคะ ดังนั้นถ้าเจออาหารเน่าเสียแล้ว ก็ควรทิ้งและไม่นำมากินต่อค่ะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป ถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ #อาหารไม่ถูกสุขลักษณะ #อาหารหมดอายุ #ความปลอดภัยในอาหาร #FoodSafety เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Freepik จาก FREEPIK และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 โดย Beyza Yalçın จาก Pexels, ภาพที่ 2 โดย Mizzu Cho จาก Pexels และภาพที่ 3-4 โดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 12 สาเหตุที่ทำให้เนื้อวัวปนเปื้อน และไม่ถูกสุขลักษณะ 10 ทริคเลือกซูชิญี่ป่นในตลาด แบบไหนดี ถูกสุขลักษณะ น่าซื้อ 9 ลักษณะของอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ที่ต้องสังเกต หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !