วิธีเลือกเนื้อหมู ดูยังไงดี สดใหม่ มีคุณภาพ | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล การเลือกซื้อเนื้อหมูที่ดีนั้นสำคัญมาก พอๆ กับต้องคิดว่าจะทำเมนูอะไรดีจากเนื้อหมูค่ะ เพราะจะส่งผลต่อรสชาติและความปลอดภัยในการบริโภค อาหารที่ทำจากเนื้อหมูจะอร่อยและมีคุณค่าทางอาหารสูงเมื่อเลือกเนื้อหมูที่มีคุณภาพก่อนนะคะ และการเลือกเนื้อหมูที่ดีมาให้ได้ ไม่ใช่ว่าจะเลือกแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะมีเคล็ดลับที่จำเป็นต้องรู้อยู่หลายข้อเหมือนกัน ที่ทุกแนวทางที่ผู้เขียนจะได้นำเสนอเอาไว้ในบทความนี้ หากคุณผู้อ่านได้นำไปใช้เพื่อคัดเลือกเนื้อหมูที่ต้องซื้อ รับรองว่าช่วยได้และทำให้การเลือกเนื้อหมูง่ายขึ้น โดยจะมีเคล็ดลับอะไรน่าสนใจบ้างนั้น อ่านต่อกันเลยดีกว่า กับเนื้อหาดังต่อไปนี้ค่ะ 1. สังเกตสีของเนื้อหมู เมื่อเนื้อหมูสัมผัสกับอากาศ ทำให้เนื้อหมูมีสีแดง ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพ ทำให้เนื้อหมูมีสีซีดลง หรืออาจเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ดังนั้นการสังเกตสีของเนื้อหมูจึงเป็นวิธีพื้นฐานที่สุดในการตรวจสอบความสดใหม่ค่ะ เนื้อหมูที่สดใหม่จะมีสีชมพูอ่อนๆ ที่สม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้น ไม่เข้มเกินไปและไม่ซีดจนเกินไป เนื้อหมูที่มีสีแดงสดใสเกินไป อาจเป็นสัญญาณว่ามีการใช้สารเร่งเนื้อแดง ส่วนเนื้อหมูที่มีสีซีดจนเกินไป อาจเป็นเพราะการแช่แข็งมานาน หรืออาจเป็นส่วนที่ไม่ได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงเพียงพอ ซึ่งจะส่งผลต่อรสชาติและคุณภาพของเนื้อค่ะ 2. สัมผัสเนื้อหมู การสัมผัสเนื้อหมูเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เราประเมินความสดใหม่ได้อย่างแม่นยำค่ะ เนื้อหมูที่สดใหม่จะเนื้อมีความยืดหยุ่น เมื่อกดลงไปแล้วจะเด้งกลับมาได้ ซึ่งต่างจากเนื้อหมูที่ไม่สด ที่มักจะมีเนื้อสัมผัสที่แข็งกระด้าง หรือเมื่อกดลงไปแล้วจะเกิดรอยบุ๋ม เนื้อหมูที่สดใหม่จะมีความชุ่มฉ่ำ ทำให้เนื้อสัมผัสดี ไม่แห้งกร้าน เนื้อหมูที่มีความยืดหยุ่นบ่งบอกถึงคุณภาพของเนื้อที่ดี จะทำให้อาหารที่ปรุงออกมาอร่อยและมีคุณค่าทางอาหารสูง และวิธีการสัมผัสเนื้อหมู มีดังนี้ ใช้ปลายนิ้วกดเบาๆ: กดลงไปบนเนื้อหมูเบาๆ แล้วปล่อยดูว่าเนื้อเด้งกลับมาหรือไม่ เปรียบเทียบความรู้สึก: ลองสัมผัสเนื้อหมูหลายๆ ชิ้น เพื่อเปรียบเทียบความรู้สึกในการสัมผัส สังเกตรอยบุ๋ม: หากกดลงไปแล้วเกิดรอยบุ๋ม แสดงว่าเนื้อหมูอาจจะไม่สดใหม่ หรืออาจถูกแช่แข็งมานาน 3. ใช้การดมกลิ่น การดมกลิ่นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการตรวจสอบความสดใหม่ของเนื้อหมูค่ะ เนื้อหมูที่สดใหม่จะมีกลิ่นคาวอ่อนๆ เป็นธรรมชาติ ไม่เหม็นหืน หรือมีกลิ่นแปลกปลอมใดๆ เมื่อเนื้อหมูเริ่มเน่าเสีย แบคทีเรียจะเข้ามาทำปฏิกิริยากับโปรตีนในเนื้อ ทำให้เกิดสารประกอบที่มีกลิ่นเหม็น กลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเนื้อหมูเริ่มบูดเสีย และไม่ควรนำมาบริโภค ที่โดยสรุปแล้วการดมกลิ่นเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้เราตรวจสอบความสดใหม่ของเนื้อหมูได้ หากคุณได้กลิ่นที่ผิดปกติ แสดงว่าเนื้อหมูนั้นไม่สดใหม่ และไม่ควรนำมาบริโภคค่ะ 4. สังเกตจากไขมัน การสังเกตสีและกลิ่นของไขมันหมูนั้นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการตรวจสอบความสดใหม่ของเนื้อหมูค่ะ ไขมันหมูที่ดีควรมีสีขาวและไม่มีกลิ่นหืน เนื่องจากไขมันเป็นส่วนที่เสื่อมสภาพได้ง่าย เมื่อไขมันเริ่มบูดเสีย จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ทำให้เกิดกลิ่นหืนและสีเปลี่ยน ไขมันที่บูดเสียจะส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นของเนื้อหมูทั้งหมด ทำให้อาหารที่ปรุงออกมาไม่อร่อย เนื้อหมูที่ดีไขมันหมูจะมีเนื้อสัมผัสแน่น ไม่เหลวหรือเละ ไขมันหมูที่สดใหม่จะมีสีขาวสะอาด ไม่มีสีเหลืองหรือสีเทาปน ไขมันหมูจะไม่มีกลิ่นหืนหรือกลิ่นเหม็น 5. สังเกตผิวหนัง การสังเกตผิวหนังของหมูนั้นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการตรวจสอบความสดใหม่และคุณภาพของเนื้อหมูค่ะ ผิวหนังของหมูที่ดีควรมีลักษณะเรียบเนียน ไม่ช้ำ ไม่เขียวคล้ำ และไม่มีเลือดออก รอยช้ำหรือรอยเลือดออกบนผิวหนัง สามารถส่งผลต่อคุณภาพของเนื้อ ผิวหนังที่สะอาดและเรียบเนียนบ่งบอกถึงการดูแลรักษาหมูที่ถูกสุขลักษณะ สีของผิวหนังควรเป็นสีชมพูอ่อนๆ หรือสีขาว ไม่เขียวคล้ำหรือเหลือง ผิวหนังควรไม่มีขนค้างติดอยู่ 6. ดูว่ามีพยาธิหรือไม่ พยาธิในเนื้อหมูเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคกังวลเป็นอย่างมาก พยาธิที่พบได้บ่อยในเนื้อหมูคือ พยาธิตัวตืดหมู ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงเล็กๆ สีขาวคล้ายเม็ดสาคู ฝังอยู่ในเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อ ถึงแม้ว่าการสังเกตพยาธิด้วยตาเปล่าจะทำได้ยาก การสังเกตด้วยตาเปล่านั้นไม่สามารถตรวจพบพยาธิได้ทั้งหมด เนื่องจากพยาธิตัวอ่อนบางชนิดมีขนาดเล็กมาก และอาจซ่อนตัวอยู่ในเนื้อได้ลึก แต่ก็มีวิธีสังเกตเบื้องต้นที่เราสามารถทำได้ดังนี้ค่ะ สังเกตเนื้อส่วนที่บด: เนื้อหมูสับหรือเนื้อบดมีความเสี่ยงที่จะมีพยาธิปะปนอยู่มากกว่าเนื้อชิ้นใหญ่ เพราะการบดจะทำให้พยาธิกระจายตัวไปทั่ว สังเกตสีของเนื้อ: เนื้อหมูที่มีพยาธิอาจมีสีซีดผิดปกติ หรือมีจุดสีขาวเล็กๆ กระจายอยู่ สังเกตเนื้อสัมผัส: เนื้อหมูที่มีพยาธิอาจมีเนื้อสัมผัสผิดปกติ เช่น แข็งกระด้าง หรือมีจุดแข็งกระด้าง สังเกตกลิ่น: เนื้อหมูที่มีพยาธิอาจมีกลิ่นผิดปกติ เช่น กลิ่นเหม็นสาบ 7. ดูบรรจุภัณฑ์ การสังเกตบรรจุภัณฑ์เนื้อหมูนั้นเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเนื้อหมูที่คุณเลือกซื้อนั้นมีความสดใหม่และปลอดภัยต่อการบริโภคค่ะ บรรจุภัณฑ์ที่ฉีกขาดหรือชำรุด อาจทำให้เนื้อหมูสัมผัสกับอากาศและเชื้อโรคภายนอกได้ ทำให้เนื้อเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และอาจปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ ได้ ควรตรวจสอบวันผลิตและวันหมดอายุให้ชัดเจน เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีวันผลิตใกล้เคียงกับวันที่ซื้อ และยังไม่ถึงวันหมดอายุ บรรจุภัณฑ์ควรสะอาด ไม่มีคราบสกปรกหรือสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ บรรจุภัณฑ์ควรปิดผนึกอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากภายนอก 8. เลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ การเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเนื้อหมูที่เราได้รับนั้นมีความสะอาด ปลอดภัย และมีคุณภาพดี ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภคโดยตรง เพราะแหล่งที่น่าเชื่อถือมักมีระบบการจัดการสุขอนามัยที่ดี ทำให้เนื้อหมูที่วางจำหน่ายมีความสะอาด ปราศจากเชื้อโรค และป้องกันการปนเปื้อน เนื้อหมูจากแหล่งที่น่าเชื่อถือมักผ่านการคัดเลือกและตรวจสอบคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ได้เนื้อหมูที่มีคุณภาพดี รสชาติดี แหล่งที่น่าเชื่อถือมักมีการตรวจสอบสารเคมีตกค้างในเนื้อหมู ทำให้มั่นใจได้ว่าเนื้อหมูที่บริโภคปลอดภัยต่อสุขภาพ ตลอดจนแหล่งที่น่าเชื่อถือมักมีชื่อเสียงที่ดี และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคค่ะ 9. เลือกซื้อในปริมาณที่เหมาะสม การเลือกซื้อเนื้อหมูในปริมาณที่พอเหมาะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากซื้อมากเกินไปอาจทำให้เนื้อหมูเสียก่อนที่จะนำมาประกอบอาหารได้หมด ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองและไม่คุ้มค่า เนื้อหมูเป็นอาหารสดที่เสื่อมสภาพได้ง่าย การซื้อในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้เนื้อหมูถูกเก็บไว้นานเกินไป จนเกิดการเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็น เนื้อหมูที่สดใหม่จะมีคุณค่าทางอาหารสูงสุด การเก็บรักษาเนื้อหมูไว้นานเกินไปจะทำให้คุณค่าทางอาหารลดลง การซื้อเนื้อหมูในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่าย และลดการสูญเสียอาหาร โดยวิธีการประเมินปริมาณเนื้อหมูที่เหมาะสม มีดังนี้ค่ะ จำนวนสมาชิกในครอบครัว: พิจารณาจำนวนสมาชิกในครอบครัวและปริมาณการบริโภคเนื้อหมูต่อมื้อ สูตรอาหาร: เลือกสูตรอาหารที่ต้องการทำ และคำนวณปริมาณเนื้อหมูที่ต้องการใช้ ความถี่ในการทำอาหาร: หากทำอาหารด้วยเนื้อหมูบ่อยๆ อาจซื้อเนื้อหมูแช่แข็งเก็บไว้ได้ แต่ควรแบ่งเป็นส่วนเล็กๆ ก่อนนำไปแช่แข็ง ระยะเวลาในการเก็บรักษา: พิจารณาว่าจะสามารถบริโภคเนื้อหมูทั้งหมดได้ภายในกี่วัน เพื่อเลือกปริมาณที่เหมาะสม ก็จบแล้วค่ะ สำหรับเคล็ดลับในการเลือกซื้อเนื้อหมูที่เหมาะสมสำหรับทำอาหาร พอจะมองภาพออกแล้วใช่ไหมคะ ปกติผู้เขียนเองก็ใช้แนวทางข้างต้นเหมือนกันค่ะ เช่น มักเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ก่อน โดยมักเป็นเขียงหมูสดที่ตลาดใกล้บ้านค่ะ นานๆ ที่ได้เข้าเมืองก็จะซื้อที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต และมักซื้อเนื้อหมูแค่พอดีใช้เท่านั้น ที่เฉลี่ยแล้วประมาณครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัม แล้วแต่เมนูที่ตั้งใจว่าจะทำค่ะ ที่มักจะสังเกตสีของเนื้อหมู สังเกตไขมัน และตรวจสอบพยาธิควบคู่กันไปด้วย และถ้าคุณผู้อ่านกำลังจะไปซื้อเนื้อหมู ก็อย่าลืมนำเคล็ดลับดีๆ ในนี้ไปใช้นะคะ และผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปก โดย Yulia Rozanova จาก Pexels ภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1,4 โดยผู้เขียน, ภาพที่ 2 โดย makafood จาก Pexels และภาพที่ 4 โดย zhugewala จาก Pexels ออกแบบภาพหน้าปกโดยผู้เขียนใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดยผู้เขียน https://food.trueid.net/detail/JdrBONYO4NMd https://news.trueid.net/detail/RLAzdzvgg8kO https://food.trueid.net/detail/dwoeM3z8Dz9W เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !