ตึกสูงทะยานเสียดฟ้า ผู้คนจำนวนมากต่างใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ รถราที่มากมายมหาศาล ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ฉกฉวย ช่วงชิงโอกาสแห่งเงินตรา และเวลาที่มีค่า บ้างจากบ้านเกิดเมืองนอน ถิ่นที่อยู่อาศัย มาแสวงโชค บางคนได้ดิบได้ดี มีหน้ามีตา มี่ที่ยืนโดดเด่นในสังคม มีเงินทอง ชื่อเสียง หลายครั้งหลายครา ที่คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารบ้านเฮา หันมองไปทางไหน ก็เจอแต่ฟาสต์ฟู้ด อาหารที่เร่งด่วน เร่งรีบ แต่ใครเล่าจะคาดคิด ในเมืองใหญ่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าอย่างนี้ จะยังมีร้านอาหาร ที่ทำให้เรา หวนคิดถึงบ้าน ท่ามกลางใจกลางมหานครที่เร่งรีบแห่งนี้ บนตึก True Digital Park ทีตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ชั้น 3F ยังมีร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่ง ที่บรรยากาศการตกแต่ง และเมนูอาหาร ทำให้หวนคิดถึง อาหารท้องถิ่น จากภาคต่างๆที่จากมา ไม่ว่าจะเป็น เหนือ อีสาน ใต้ ภายใต้ชื่อร้าน "Ginger Farm Kitchen" ด้วยคอนเซ็ปที่ค่อนข้างทำให้ประหลาดใจ ดั่งสโลแกนร้านที่ว่า "The closer we get to the source of our food, The betterit is for us and for this planet" ซึ่งแปลเป็นไทย ได้ใจความว่า "ยิ่งเราเข้าใกล้แหล่งอาหารของเรามากเท่าไหร่ ยิ่งดียิ่งขึ้นสำหรับเราและโลกใบนี้...." ซึ่งเป็นสโลแกนที่เล็งเห็นถึงความเรียบง่าย และความเข้าใจในพื้นฐานที่ว่า อาหารที่ดีไม่ได้แปลว่าจะต้องอยู่ไกลห่างจากตัวเรา หากแต่อาหารที่ดีและมีคุณภาพนั้น แท้จริงแล้ว มันอาจอยู่ในแหล่งท้องถิ่น ที่เราสามารถหามันมาได้ง่ายดายที่สุด แต่มองข้ามมันไปมากที่สุด โลกของคนเมืองนั้นเป็นสิ่งที่แปลก เพราะเมื่อความเป็นเมืองกลืนเราไปเท่าไหร่ เราเองกลับยิ่งโหยหาความธรรมดามากยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว ร้าน Ginger Farm Kitchen จึงเป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างตอบโจทย์ความธรรมดาสามัญ ที่กลายเป็นความธรรมดาแบบมีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน ที่ตกแต่งประดับประดาไปด้วยหลอดไฟสีเหลืองนวลชวนอบอุ่น มีเครื่องไม้เครื่องมือทำหากินของผู้คนท้องถิ่นในภาคต่างๆของประเทศไทย ที่นำมาประยุกต์เป็นเฟอร์นิเจอร์สำหรับตกแต่ง ประกอบกับดนตรีที่เปิดคลอภายในร้าน ซึ่งเป็นแนวเพลงท้องถิ่นของภาคต่างๆ เปิดสลับกับดนตรีแจ๊สสากลฟังสบาย ซึ่งหมายรวมถึงการยินดีต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ที่พร้อมจะเข้ามาศึกษาวัฒนธรรมการกินของคนไทย เมนูอาหารโดยทั่วไปแล้ว ล้วนเป็นอาหารท้องถิ่นจากภาคต่างๆ ทั้งเหนือ กลาง อีสาน ใต้ เราทดลองสั่งเมนูจากภาคเหนือ “หมูหมักมะแขว่นย่าง” ในราคา 250 บาท ซึ่งในความรู้ “มะแขว่น” คือพืชชนิดหนึ่ง ที่ขึ้นอยู่ทางภาคเหนือของไทย เรื่อยยาวไปถึงตอนใต้ของจีนยูนนาน ในแถบเสฉวน ซึ่งมีวัฒนธรรมของชาวม้งที่คล้ายคลึงกัน มะแขว่น มีกลิ่น และรสชาติที่เผ็ดชาลิ้น เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งคนจีนเรียกกันในภาษาจีนว่า “หม่าล่า” แต่สำหรับคนไทยในภาคเหนือนั้น จะนำมะแขว่นมาปรุงใส่อาหารได้หลายหลาก ทั้งใส่ในลาบ ทำน้ำจิ้ม หรือหมักกับหมูแล้วนำไปย่าง ทำให้รสชาติของหมูย่างธรรมดาๆ กลายเป็นหมูย่างที่ไม่ธรรมดา แกล้มด้วยผัดสดพื้นบ้านหลากหลายชนิดที่เสิร์ฟมาบนถาดสังกะสีแบบโบราณ ทั้งมะเขือเปราะ ผักแพว แตงกวา เหงือกปลาหมอ จิ้มด้วยน้ำจิ้มพริกป่น ที่ใส่มะแขว่นลงไป ทำให้รสชาติเผ็ดชาลิ้นหรือจะห่อกินเป็นเมี่ยงก็เข้าที เป็นรสชาติดั้งเดิมแบบบ้านๆ ที่ชาวเหนือได้ลิ้มลอง คงต้องถวิลหาบ้านเกิดได้ไม่มากก็น้อย แต่หากจะพูดถึงความเป็นสากลขึ้นมา เราคงจะนึกถึงอาหารประเภทฟิวชั่น หรือการผสมผสานเอาอาหารไทย กับสากลในแต่ละชาติเข้าด้วยกัน เมนูสากลในร้านนี้ก็ไม่ได้น้อยหน้า เราทดลองสั่งเมนู “เฟตตูชินี่น้ำพริกอ่อง” ในราคา 225 บาท ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง น้ำพริกอ่อง และเส้นพาสต้าประเภทเฟตตูชินี่ ซึ่งเป็นเส้นพาสต้าลักษณะหนึ่ง ที่มีรูปลักษณ์เป็นเส้นยาว คล้ายริบบิ้น ซึ่งเหมาะกับการทานร่วมกับซุปครีมประเภทต่างๆ ซึ่งจะว่าไปแล้ว น้ำพริกอ่องของไทยนั้นมีความคล้ายคลึงกับซุป ซึ่งมีวัตถุดิบหลักคือมะเขือเทศและเนื้อสัตว์ แต่มีความหอมของหอมแดงและเผ็ดเป็นเอกลักษณ์จากพริกแห้งของไทย มีแค็ปหมูกรอบและใส้อั่ว ช่วยเพิ่มรสสัมผัสให้แปลกและมีลูกเล่นมากขึ้นไป ทำให้เมนู เฟตตูชินี่น้ำพริกอ่อง เป็นเมนูที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวของอาหารตะวันตก แต่จัดจ้านในแบบของชนพื้นเมืองทางภาคเหนือของไทย พร้อมนำเสนอสู่ความเป็นสากล เพื่อบ่งบอกความเป็นไทย สู่สายตาชาวโลก ด้วยวัฒนธรรมการกินอาหารที่เป็นเอกลักษณ์และมีมาอย่างยาวนานนับแต่บรรพกาล ตบท้ายด้วยน้ำผลไม้สมูทตี้ ที่หยิบเอาผลไม้ไทยๆอย่าง ลิ้นจี่ โหระพา ขิง มะนาว และน้ำผึ้ง มาปั่นเป็นน้ำผลไม้รวมในเมนูที่ชื่อว่า “Lychee Mellow” ซึ่งวัตถุดิบทั้งหมดมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต และช่วยในการเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน เป็นเมนูล้างปากที่ทำให้อาหารมื้อนี้ จบ ครบ ในมื้อเดียว ในร้านยังมีโซนสำหรับขายผลิตภัณฑ์ สินค้าจากท้องถิ่น ซึ่งเป็นสินค้าแฮนด์เมด หรือเป็นสินค้าประเภทออร์แกนิกที่มาจากธรรมชาติล้วนๆให้ได้เลือกชมเลือกซื้อกันอีกด้วย ผมเชื่อว่าคนในเมืองกรุงหลายคน ถวิลหาอยากจะกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง หากแต่หลายคน ก็มีภาระหน้าที่การงานที่รัดตัว จึงไม่สามารถที่จะปลีกตัว กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนได้.... จะด้วยเหตุผลใดๆก็เถอะครับ ร้าน Ginger Farm Kitchen คงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง ที่ถวิลหาความเป็น Local ได้ไม่มากก็น้อย แต่หากได้มาลองชิมอาหารที่ร้านแล้วยังไม่หายคิดถึงบ้าน คงมีวิธีเดียวที่จะทำให้คุณหายคิดถึงบ้านได้อย่างแนบสนิทใจ นั่นคือการหาโอกาสสละเวลา กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด กลับไปหาครอบครัวที่อบอุ่นของคุณ กลับไปสูดอากาศบริสุทธิ์ กลิ่นทุ่งนา กลิ่นกองฟาง กลิ่นสาปวัวควาย กลิ่นดิน กลิ่นโคลน กินอาหารพื้นบ้าน ที่มาจากวัตถุดิบรอบๆบ้านของคุณ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กอดคนที่คุณรัก กอดครอบครัวของคุณเอาไว้แน่นๆ ผมเชื่อเหลือเกินครับว่า นั่นเป็นวิธีเดียว ที่จะปลดล็อคความคิดถึง ในเมืองใหญ่ที่แสนจะวุ่นวาย แต่กลับอ้างว้างเดียวดายในหัวใจ ให้กลับชุ่มชื่นฟื้นแรงใจขึ้นมาได้ เป็นพลังผลักดันให้ต่อสู่ในเมืองใหญ่ สู้เพื่อคนที่อยู่ข้างหลังได้มีความสุขอย่างที่ใจคุณต้องการ...... GINGER Farm Kitchen 101 The Third Place true Digital Park Floor 3, Room no.305-306, 101 Sukhumvit Road,Bangchak, Prakanong, Bankok 10260 Opening Hours :10.00 am - 11.00 pm Tel : 02-0105235 Email : gingerkitchenbkk@gmail.com #fromfarmtocity