คราวที่แล้วผู้เขียนได้พูดถึงมะขวิด และถ้าไม่คุยเรื่องมะสังต่อ มันก็เหมือนคุยเรื่องบิณฑ์แล้วไม่พูดถึงเอกพันธ์ประมาณนั้นเหมือนมันจะขาด ๆ อะไรไปอย่าง (จริง ๆ ไม่ได้แถ) ส่วนในวันนี้อยากจะชวนมาตำน้ำพริกมะสังรับประทานกันดู ภาพถ่ายโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน มะสังเป็นไม้ผลลูกประมาณกำปั้น มีกลิ่นหอมนวลอ่อน แต่ลำต้นสูงลิบลิ่วแหงนคอตั้งบ่า เรียกว่าจะสอยได้สักลูกปวดคอไปตาม ๆ กัน และเนื่องจากเป็นไม้ทรงสวยจึงมีผู้นิยมนำมาดัดเป็นบอนไซ ไม้กระถาง มะสังเปลือกหนาพอ ๆ กับมะขวิดเพียงแต่ลูกย่อมลงมาเวลาผ่าจึงต้องระวังมากเนื่องจากผิวลื่นผู้เขียนก็เคยโดนมีดแฉลบบาดหลายครั้งได้ลิ้มรสเลือดมาแล้ว เมื่อผ่าตามแนวขวางเราจะเห็นเนื้อในมีสีขาวปนเขียวอ่อน ๆ เต็มไปด้วยเส้นใยและเมล็ด ลองใช้ช้อนตักชิมจะได้รสเปรี้ยวอมหวานไม่โด่เด่เหมือนมะนาวคนเฒ่าแถวบ้านจึงนิยมนำมาตำ "น้ำพริกมะสัง" ผู้เขียนจัดแจงใช้ช้อนโต๊ะคว้านเนื้อในทั้งสองซีก ใส่ครกหิน (ผู้ชายก็ตำน้ำพริกได้นะ) วัตถุดิบไม่ยุ่งยากดังนี้ มะสัง(พระเอกของเรื่อง) พริกขี้หนู 5-6 เม็ด(นางเอกผู้เผ็ดร้อน) มะเขือเทศลูกเล็ก 3-4 ลูก (ตัวประกอบ แต่จำเป็น บ้านเราเรียกส้มย้อ) หอมแดง 2-3 หัว(แกคือตัวโกงสินะ) กะปิอย่างดี (พ่อพระเอกผู้ชักนำสู่ด้านอร่อย)เพราะกะปิดีทำอะไรก็อร่อย น้ำตาลปี๊บ(เพื่อนนางเอก คอยปรับความเข้าใจ) ผักชี(โผล่มาซีนปิดเรื่องเป็น Cameo) ขอขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com เมื่อได้วัตถุดิบครบผู้เขียนจะล้างอย่างดีด้วยน้ำสะอาด และซอยทุกอย่างหยาบ ๆ ลงครก(ยังไม่ใส่กะปินะ) เพราะเคยลองใส่ทุกอย่างตำทีเดียว เปลืองแรงมากด้วยความหนืดของกะปิ จนส่วนผสมแหลกดีจึงใส่กะปิอีกที แนะนำอีกนิดถ้าตำกินเองไม่ได้ขายใช้ครกหินเถอะอร่อยกว่าเยอะ ได้ออกกำลังกระชับท้องแขนด้วย ถามว่าต่างกันตรงไหนครกกับเครื่องบด เจ้าเครื่องนั้นถ้าเผลอบดนานไปแผล็บเดียวรับรองกลายเป็นมะสังสมู้ทตี้แน่นอน คือมันจะเละ ละเอียดรวมกันหมดไม่ได้รสสัมผัสภาษาศิลป์กับพ่อครัวเรียกว่ามันไม่มี Texture กินแล้วไหลลงคอเหมือนข้าวเปียกเด็ก ฉะนั้นจงกระหน่ำตำถี่ ๆ โดยเฉพาะสาว ๆ ถือเป็นเสน่ห์ปลายจวักที่ใช้เรียกยอดไลค์(และยอดรัก)จากหนุ่มแบบอยู่หมัด ดั่งท่อนหนึ่งในเพลง เทพธิดาผ้าซิ่นว่า "เสียงตำถี่จนทุ่งสะเทือน” ผู้เขียนยังจำได้ดีว่าสมัยเด็กนั้นตอนเช้าไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาปลุกไปเรียนเพราะจะได้ยินเสียงตำพริกข้างบ้านจากหนึ่งครัวไล่ต่อ ๆ กันมาเรื่อย ๆ จากนั้นก็จะเป็นการประสานเสียงครัวออเครสตร้า ฉี่ ๆ ฉ่า ๆ โป๊กเป้ก ๆ ไปทั่วละแวก อ๋อ!!! ขอแถมเคล็ดลับจากย่าที่ถ่ายทอดสู่แม่ถึงเราอีกที(เรียกว่าตำนานจริง ๆ ) คือเติมน้ำตาลปี๊บให้รสกลมกล่อม บ้านเราจะไม่ใส่ผงชูรสในอาหารซึ่งแม่ครัวหลายคนเสพติดกันมากเคยแอบเห็นหลายบ้านใส่กันเป็นทัพพีกินแล้วลิ้นชาไม่รับรส แบบนี้เรียกว่าอร่อยแบบตายผ่อนส่งจากชูรสชัด ๆ ไม่เว้นแม้แต่น้ำพริก ขอเทใส่ครกกันสักหน่อยเหมือนไม่มั่นใจรสมือตัวเอง จริง ๆ แล้วถ้าวัตถุดิบสดใหม่ ของแบบนี้ไม่จำเป็นเลย พริก หอมแดง มะเขือเทศนั้นเราสามารถปลูกในพื้นที่เล็ก ๆ (คอนโดก็ปลูกได้) ใส่ใจกับอาหารสักนิด จะได้อายุยืนแบบไม่ต้องกินยา หลังจากใส่น้ำตาลปี๊บลงไปสักครึ่งช้อนชา ตำอีกทีจนทุกอย่างนวลน่ากิน แต่งแต้มด้วยใบผักชีตามนิยม แซมด้วยมะเขือเทศส้มย้อเล็ก ๆ เป็นสีสัน กินกับผักสด มะเขือเผา มะเขือเปราะ ผักข้างรั้ว ปลาทูทอดอร่อยจนต้องพูดเป็นสำเนียงเหน่อ ๆ บ้านฉันว่า “อาร๊อยโจ๊นเต๊ะ..ม่ายยลุก” เลยทีเดียว ภาพถ่ายโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน