หลายคนคงคุ้นเคยกับการรับประทานชานมไข่มุก หรือคงได้ยินกันบ้าง และหลายคนคงจะทราบดีถึงปริมาณน้ำตาลที่มีมากเกินไปในชานมไข่มุก และรู้ถึงโทษของการรับประทานกันอยู่แล้ว วันนี้จะมาทำความเข้าใจเรื่องของชา ก่อนที่จะมาเป็นชานมไข่มุกได้ ต้องกลายเป็นชามาก่อน แรกเริ่มเดิมทีน้ำชามีมาช้านานกว่า 4700 ปี นอกจากจะเป็นเครื่องดื่มดับกระหายแล้ว ยังมีวิตามิน B, C, E กรดอะมิโน และสารต้านอนุมูล ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด รวมทั้งคาเทชินในใบชา ช่วยลดความอ้วนได้ โดยเฉพาะคาเทชินในชาเขียวมีฤทธิ์เพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยต้านอาการอักเสบ ป้องกันตับจากสารพิษ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ การดื่มชาอย่างถูกวิธีนั้นนอกจากจะทำให้สารสำคัญต่าง ๆ ที่อยู่ในใบชานั้นถูกร่างกายดูดซึมไปใช้อย่างเต็มที่แล้ว ก็มีข้อควรระวังที่ควรทราบของการดื่มชา เพื่อเครื่องดื่มที่ดีนั้นมีทั้งคุณและโทษแตกต่างกัน การดื่มชาที่ถูกต้องมีดังนี้ ภาพโดย Pexels จาก Pixabay ดื่มชาที่ชงเสร็จร้อนๆ ในใบชามีสารสำคัญอย่าง "คาเทชิน (Catechin)" ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยดักจับอนุมูลอิสระ ทั้งยังมีสารธีอะนิน (Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ทำงานสัมพันธ์กกับเส้นประสาท เมื่อดื่มไปแล้วจะรู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่งและสมองปลอดโปร่งมากขึ้น แต่สารคาเทชินจะถูกความร้อนทำลายได้ง่าย ทำให้คงเหลือแค่ความหอมและรสชาด ดังนั้นการดื่มชาร้อนๆ ควรดื่มเป็นน้ำชาที่เข้มข้น เพื่อให้ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระตัวนี้ ภาพโดย Foundry Co จาก Pixabay การดื่มชาตอนที่ท้องว่าง เพราะในขณะที่ท้องว่างนั้น การดื่มชาจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด และลดการรบกวนของการดื่มชาด้วย กล่าวคือในชามีสารสำคัญคือแทนนิน ซึ่งไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆจากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมสารอาหาร ดังนั้นจึงแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชา เพราะอาจจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ ดังนั้นจึงควรพักเวลาในการดื่มชาหลังจากรับประทานอาหาร 2-3 ชั่วโมง แล้วค่อยดื่มชา ภาพโดย Alex Boyd จาก Unsplash ไม่ควรเติมนมในชาทุกชนิด เป็นข้อที่อาจจะทำให้ใครหลายคนตกใจ แต่เป็นเรื่องจริง การเติมนมลงไปในชา ไม่ว่าจะเป็นนมผล นมสด นมข้น โปรตีนจากในนมจะไปจับกับสารสำคัญในใบชา และลดประสิทธิภาพของชาลง ถึงแม้นมันดูจะไม่เป็นอันตรายก็ตาม แต่ก็ไม่ต่างกับการดื่มน้ำหวานเลย ไม่การดื่มชาทุกวันหรือดื่มในปริมาณที่มากเกินไป อะไรก็ตามที่รับประทานมากเกินไปย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ซึ่งในชามีสารอ๊อกซาเลตมาก และสามารถที่จะเข้าไปอุดตันอยู่ภายในไต และทำให้เป็นนิ่วได้ ดังนั้นเด็กที่ท้องอืดบ่อย ๆ หญิงตั้งครรภ์ และคนที่เป็นโรคหัวใจ ไม่ควรดื่มชา เพราะจะยิ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น รวมทั้งคนที่เป็นโรคไตก็ไม่ควรดื่ม ภาพโดย Gerd Altmann จาก Pixabay คนที่มีภาวะเครียด อ่อนเพลีย หรืออยู่ในภาวะร่างกายขาดน้ำไม่ควรดื่มชา เพราะอะไรทำไม่จึงไม่ควรดื่มชา เพราะชาเขียวร้อนมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่าในกาแฟเสียอีก จึงอาจจะทำให้คนที่อยู่ในสภาวะไม่แข็งแรง เกิดอาการใจสั่น นอนไม่หลับ อาจจะทำให้หน้ามืดหรือหมดสติได้ การเลือกเครื่องดื่มควรเลือกดื่มอย่างพอเหมาะ ไม่มากเกินไปหรือบ่อยเกินไป แล้วควรดื่มอย่างถูกวิธีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในเชิงของการรักษา สุขภาพ และความปลอดภัย ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://health.kapook.com/view153861.html https://www.ochasama.com https://www.honestdocs.co/drinking-tea-and-its-effect-on-the-body https://www.ochasama.com https://www.sanook.com/women/79837/ https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/345/