เครื่องหอมเครื่องปรุงบำรุงสุขภาพ เทลงอย่างสำราญเน้นเครื่องแน่น ใส่ครก หั่นผักเป็นแว่นใส่สากตาม ได้น้ำพริกหอมทานอิ่มเอมใจ จิ้มได้หมดผักสด ยันผักนึ่ง ลองชิมสักหนึ่งคำซาบซ่านไปถึงทรวง สมุนไพรคือยาอย่างหนึ่งที่เราสามารถนำมาประกอบอาหาร ถ้าหากเรามีการศึกษามาจะรู้ว่าหญ้าทุกต้นที่ออกตามพื้นดิน แต่ละชนิดล้วนมีสรรพคุณในการช่วยรักษาโรค ซึ่งในสมัยพุทธกาลได้มีเหตุการณ์เล่าไว้ว่า หมอยาคนหนึ่งที่มีความรู้ในเรื่องยา และเป็นหมอที่รักษาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เรียนรู้วิชาจนเสร็จทุกอย่างจนอาจารย์ที่สอนนั้นไม่มีอะไรจะสอนแล้ว ก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาจึงมอบตะกร้าใบหนึ่งให้กับลูกศิษย์และบอกว่า ให้เข้าไปในป่า ไปหาต้นไม้ที่ไม่มีฤทธิ์เป็นยา หมายถึงต้นไม้ที่ไม่สามารถนำมาเป็นยาได้ ให้นำมาให้กับอาจารย์ ลูกศิษย์คนนั้นได้เดินทางไปทั่วทุกทิศระยะห่างไกลกันเป็นหลายร้อยกิโลเพื่อหาต้นไม้นั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามหาขนาดไหนก็ไม่สามารถหาได้ สุดท้ายจึงกลับมาพร้อมตะกร้าใบเปล่า และบอกกับอาจารย์ว่าไม่มีต้นไม้ชนิดไหนไม่มีฤทธิ์เป็นยา ทุกต้นล้วนให้สรรพคุณทางยาได้ทั้งหมด อาจารย์จึงได้บอกกับลูกศิษย์ว่า “ใช้แล้วต้นไม้ทุกต้นล้วนมีประโยชน์ทั้งหมดเธอเรียนจบแล้ว การสอบนี้เธอสอบผ่าน” “อาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนเธอแล้ว เพราะความรู้เท่าที่มีอาจารย์ได้มอบให้เธอไปจนหมดสิ้น ต่อไปเจ้าจงนำความรู้ที่ได้ไปรักษาคนที่เจ็บป่วย” สิ่งนี้ทำให้เห็นได้ว่า ต้นไม้ทุกต้นล้วนมีสรรพคุณทางยา ให้ประโยชน์กับร่างกาย ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบันชาวบ้านจึงได้นำมาประกอบเป็นอาหาร รวมถึงปรุงรสให้อร่อย ตามใจผู้ทาน ในส่วนของบทความนี้จะพาไปรู้จักกับอาหารอย่างหนึ่งที่คนอีสานชอบและอาจจะขาดไม่ได้ในการทานอาหารในหนึ่งมื้อ ซึ่งเรียกชื่อว่า “แจ่ว” ภาษากลางนั้นจะใช้ว่า “น้ำพริก” เชื่อหรือไม่ในการทานอาหารของคนอีสาน ทานกันเป็นครอบครัวใหญ่ หนึ่งในอาหารหนึ่งอย่างจะต้องมีน้ำพริก แจ่วหอม อาหารที่ทุกคนทานได้ ไม่ว่าจะเป็นการทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ ทานกับข้าวสวยหุงสุขใหม่ สามารถทานได้ทั้งหมดตามใจชอบ หลายครั้งเราคิดไม่ออกว่าจะทานอะไร เบื่ออาหารจานด่วน ข้าวผัด ผัดผัก ที่บางครั้งมันหวานจนทำให้รู้สึกเหมือนทานอะไรไม่อิ่ม ลองนำแจ่วหอมมาจ้ำทานสักคำสองคำ รับรองว่าอาการนั้นจะหายไป แจ่วหอมที่วัตถุดิบที่นำมาใช้ ล้วนเป็นสมุนไพร บางตัวทานแล้วจะทำให้ไม่ปวดท้องง่าย วิธีการเก็บรักษา ซึ่งในการเก็บรักษาแจ่วหอมนี้ อย่างแรกที่เราต้องเก็บไว้ก็คือ ในตู้เย็นเพราะเนื่องจากไม่ได้ใส่สารกันบูด จึงทำให้อาจจะเสียได้ง่าย ถ้าหากอยู่ในอากาศที่ร้อนเกินไป มาดูวิธีการทำแจ่วหอมตามขั้นตอนกันก่อนเลยดีกว่า ส่วนประกอบสำคัญ ที่ควรนำมาเตรียมก่อนเริ่มลงมือทำ 1. ผักหอม 2. หอมแดง 3. พริกป่น 4. มะกอกสุก 5. มะขามเปรี้ยวสุก 6. น้ำปลา ปลาร้า และเกลือเล็กน้อย ในขั้นตอนแรกคือการซอยหอมลงไปในครก การทำน้ำพริกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือครก ใหญ่หรือเล็กตามความต้องการของผู้ทำ หลังจากนั้นนำหอมซอยลงไปในครก รวมถึงกระเทียมและหอมแดงด้วย ใส่ลงไปค่อนข้างเยอะหน่อยเพราะว่า มันคือแจ่วหอม หอมกนะเทียมจะใส่จนกว่าเราจะพอใจ ในการทำแจ่วหอมนี้ใช้เวลาไม่นาน แต่เราจะต้องเตรียมวัตถุดิบให้ครบก่อนที่จะทำ เพราะถ้าหากทำแล้วค่อยไปหาอาจจะทำให้ผักเปลี่ยนสีได้ ขนาดและรูปร่างในการซอยหอมนั้น แล้วแต่ความสะดวกของผู้ทำน้ำพริก เพราะถ้าหากทำใหญ่ไปก็อาจจะทำให้ดูไม่น่าทาน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ทำขนาดเล็กเกินไปก็จะทำให้ดูเละดูไม่น่ารับประทาน อะไรจะเท่าพอดี อาจจะหั่นใส่เขียงได้ แต่สำหรับคนที่ทำบ่อยแล้ว สามารถนำมาหั่นหรือตัดหอมได้เลยโดยไม่ต้องผ่านเขียง ขั้นต่อมาหลังจากที่ซอยหอมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะตามด้วย พริกป่น นำพริกป่นใส่ลงตาม จำนวนที่ใส่นั้นแล้วแต่ความชอบ ใส่เยอะสำหรับคนที่ชอบเผ็ดมาก ใส่น้อยสำหรับคนที่ทานเผ็ดไม่ค่อยได้ ประโยชน์ของการทานพริกก็มีเช่นกัน เราอาจจะมองว่าการทานพริกนั้นไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เรามาฟังประโยชน์ของการทานพริก พริกมีประโยชน์ในเรื่องของความเผ็ด เราสามารถทานพริกต้านโรคได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า เราทานพริกเพื่อที่จะสลายลิ่มเลือด อย่างต่อมานั้นพริกยังทำให้เราอยากอาหาร เจริญอาหาร พริกช่วยในการละลายเสมหะ ทำให้หายใจได้คล่อง บรรเทาอาการปวดต่างๆ มีวิตามินซี ใครจะเชื่อว่าพริกนั้นจะมีวิตามินซีซ่อนอยู่ แต่ที่สำคัญสำหรับสาวๆ ถ้าได้เห็นประโยชน์ของการทานพริกข้อนี้ คงจะตื่นเต้นและชอบไม่เบา นั่นคือพริกนั้นสามารถช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักได้และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานการทานพริกก็ช่วยในการลดน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน การทานพริกที่เผ็ดแต่ไม่เผ็ดมากจึงมีประโยชน์กับร่างกายของเรา แต่ถ้าได้ขึ้นชื่อว่ารพริกแล้ว จะต้องมีความเผ็ด ต่อมาสิ่งที่จะใส่ เพื่อให้รสชาติเปรี้ยวคือมะขาม มะขามเปรี้ยวส่วนในบ้านนั้นจะเป็นมะขามที่เก็บจากต้นไม่ต้องซื้อหา ใส่เพียงสองข้อหรือสามข้อ เพื่อให้รสชาติเปรี้ยว มะขามสรรพคุณมีมากล้น นอกจากการนำไปขัดผิว มะขามยังช่วยขับลมในลำไส้ เป็นยาแก้ไอและอีกหลายอย่าง การใส่มะขามทำให้น้ำพริกหอมและเหนียวขึ้นและหอม การใส่มะขามนั้นเราจะต้องนำกากของมะขามออกก่อน เลือกหยิบใส่เฉพาะเนื้อของมะขาม ใส่เพียงเล็กน้อยอนุภาคความเปรี้ยวก็มีจำนวนมาก เพราะฉะนั้นต้องใส่ทีละนิดแล้วชิมรสชาติตามไปด้วย รสชาติอะไรที่มากเกินไปจะทำให้ดึงความอร่อยไปด้วย สิ่งที่นำมาปรุงรสชาติต่อไปคือมะกอกสุก อาหารภูไทส่วนมากจะใส่มะกอกสุขเพื่อให้ความเปรี้ยวกลมกล่อม แยกประเภทไปที่น้ำพริกจะมีการใส่มะกอกมากกว่าสิ่งอื่นเพราะเมื่อใส่เข้าไปแล้วจะทำให้มีกลิ่นหอม การใส่มะกอกนั้นเราจะปลอกเปลือกของมะกอกสุกออก แล้วจะใส่ลงไปเพียงเม็ดด้านในของมะกอก เพราะถ้าหากใส่ลงไปทั้งหมด ความเปรี้ยวของมะกอกจะมากเกินไป การใส่เม็ดของมะกอกสุกลงไป สิ่งหนึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว ยังคือความสวยงาม เพราะมะกอกจะช่วยประดับให้แจ่วหอมของเราสวยน่ารับประทานมากขึ้น ความลงตัวในการปรุงรสชาติ เมื่อไหร่ที่มีการตำและใส่เครื่องปรุง จะทำให้น้ำพริกน่าอร่อย ขาดไม่ได้อย่างมากคือ ปลาร้า และน้ำปลา ส่วนในเรื่องของผงชูรสนั้น อยู่ที่ความชอบส่วนบุคคล ผู้ทำไม่ชื่นชอบในการใส่ผงนัวหรือผงชูรส จึงไม่ได้ใส่ลงไป ใส่เพียงน้ำปลา ปลาร้าเล็กน้อย เกลือใส่ไม่มากพอทำให้รสชาติกลมกล่อมพอ จะไม่ใส่เยอะเพราะว่าจะทำให้แจ่วหอมอาจจะมีรสชาติเค็มเร็วขึ้น เมื่อปรุงรสเรียบร้อยชิม รสชาติเข้าที่ก็สามารถที่จะนำไปทานได้เลย แจ่วหอมที่ทำเสร็จแล้ว สามารถเก็บไว้ได้นานหลายวัน แต่จะต้องจัดใส่ถุงหรือกล่องให้มิดชิด แล้วแช่ในตู้เย็น เพราะถ้าหากปล่อยให้อากาศเข้าและปล่อยทิ้งด้านนอกไว้นาน แจ่วหอมของเราจะแห้งกรอบ และไม่น่ารับประทาน ถ้าหากแช่ไว้ในตู้เย็นเวลาจะทานก็นำออกมาทาน จะเก็บไว้ได้นานกว่า เสน่ห์อย่างหนึ่งของแจ่วหอมคือ จะให้รสชาติที่หอมตั้งแต่แรกจนปรุงสุก ซึ่งแต่ละคนจะมีวิธีการหรือสูตรลับที่แตกต่างกันไป ซึ่งการทำแจ่วเพียงครั้งเดียวสามารถนำไปรับประทานกับอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนึ่งผักกะหล่ำปลี ผักกาดดอก ผักคะน้า รวมไปถึงข้าวเหนียวสุกร้อนๆ ทานควบคู่กับแจ่วหอมยิ่งทำให้อร่อยมากยิ่งขึ้น คนไทยมีความคิดและไอเดียที่ดี ในการคัดเลือกวัตถุดิบในการนำมาทำอาหาร ทานเองในครัวเรือน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น นอกจากนั้นเรายังมีความมั่นใจในความปลอดภัยในการทานด้วย ว่าทานแล้วจะท้องร่วงเพราะอาหารไม่สะอาดไม่มี เพราะว่าเรานั้นทำเองทุกขั้นตอน ใครที่สนใจวิธีการทำแจ่วหอมในแบบนี้ก็สามารถนำไปทดลองทำตาม ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงนั้น ตามความพอใจของผู้ทำ ถ้าหากชอบรสจัดหน่อยสามารถใส่พริกป่นมากขึ้น เพิ่มความหอมโดยผักหอม ความเปรี้ยวโดยมะกอกสุก เท่านี้ก็ทำให้แจ่วหอมของเราอร่อยถูกปากผู้รับประทานแล้ว ลองทำอาหารทานเอง แล้วเราจะมีความสุขเมื่อเห็นคนที่เรารักอร่อยกับการกินอาหาร การทานอาหารซ้ำซากบางครั้งทำให้ไม่ค่อยเจริญอาหาร ลองหันมาทำแจ่วหอมทำ อาจจะเจริญอาหารได้เพราะมีพริกที่ช่วยทำให้อยากอาหาร ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียนเอง (อุ้งเท้าแมว)ห้องส่องร้านดังมาแรง รวมของกินอร่อยต้องโดน บอกสูตรเมนูลับที่ไม่ลับอีกต่อไป