“ถ้าเธอจะมาชมความงามของสันหลังมังกร ที่มีเงาสะท้อนของผืนฟ้าในฉากหลัง เธอมาช้าไป แต่ถ้าหากเธอจะมาชมความงามแห่งความเขียวขจีในผืนนาเป็นขั้นๆ ฉันว่า เธอมาเร็วไป” นี่คือถ้อยคำทักทายที่พี่หยาง โชเฟอร์รถรับจ้างที่ฉันจ้างจากสถานีขนส่ง ปลายทางอยู่ที่ โฮสเทลแห่งหนึ่ง ในหุบเขาเล็กๆที่ฉันได้จองไว้ หลังจากที่ได้ทราบว่าฉันเดินทางมาคนเดียวเพื่อดูซูเปอร์นาขั้นบันไดแห่งนี้ ภาพประกอบโดยผู้เขียน ย้อนความทรงจำกลับไปในช่วงนี้ของเมื่อปีที่แล้ว ที่ตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว ไปตามชนบทของมณฑลยูนนาน สาธารณะประชาชนจีน และที่นี่ก็เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง ช่วง high season ของที่นี่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว นักท่องเที่ยวบางตาอย่างเห็นได้ชัด ร้านรวงต่างๆ ก็เปิดแบบนับร้านได้ แต่ถ้ามองในอีกมุม สำหรับฉัน เป็นข้อดี เพราะจะได้ไม่ต้องแย่งอะไรๆกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ได้เดินช้าๆ ชมทิวทัศน์อย่างเต็มอิ่ม ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องใดๆ เลย ภาพประกอบโดยผู้เขียน นาขั้นบันไดหยวนหยาง เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม จุดศูนย์กลางของทุ่งนาขั้นบันไดของชนเผ่าฮาหนีในมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นการปลูกข้าว บนไหล่เขาเป็นขั้นบันได กว่าหมื่นขั้น มองเห็นเป็นชั้นๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา ทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้า สามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ภาพประกอบโดยผู้เขียน ด้วยการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย อิงแอบธรรมชาติ ผู้คนยังมีน้ำใจ ทำให้ที่นี่มีความปลอดภัยสูง ผู้หญิงที่เดินทางคนเดียวอย่างเรา ไม่ต้องกังวลกับปัญหาเหล่านี้เลย ได้แต่คอยระวังว่าเดินอยู่ดีๆ จะเดินเหยียบอุจจาระน้องกระบือที่เราเจอกัน หรือเดินสวนกันระหว่างทางหรือไม่ ภาพประกอบโดยผู้เขียน “ประเทศไทย มีสถานที่เที่ยวมากมาย แถมยังหลากหลายกว่าที่นี่ซะอีก ทำไมเธอถึงอยากมาล่ะ” บทสนทนาระหว่างฉันและอาเหอดังขึ้นระหว่างที่กำลังเดินกลับที่พัก หลังอิ่มจากอาหารมื้อเย็นที่ได้ทานด้วยกัน อาเหอเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมโฮสเทลที่ต่างคนก็ต่างเดินทางมาตามลำพัง ฉันยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้รีบตอบใดๆ บางทีเหตุผลที่ใครสักคนจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง คงไม่มีแค่เหตุผลเดียวเป็นแรงผลักดัน